วัณโรคปอด คือ อะไร

วัณโรคปอด คือ

วัณโรค มิได้ เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
วัณโรค เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ มัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis) ที่มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
วัณโรค สามารถเป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ วัณโรคปอด
                       

วัณโรค ติดต่อกันได้อย่างไร

เชื้อวัณโรคติดต่อโดยการแพร่เชื้อกระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านทางอากาศ โดยผู้ป่วยที่มีเชื้อในเสมหะ ไอ จาม เชื้อล่องลอยไปในอากาศผู้ที่สูดหายใจเอาเชื้อเข้าไป
อาจจะป่วยเป็นวัณโรคได้

วัณโรคมีอาการอย่างไร

- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ หรือไอมีเสมหะปนเลือด
- เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
- มีไข้ต่ำๆตอนบ่ายหรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย

รู้ได้อย่างไรว่าเป็น วัณโรคปอด

- การตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ เป็นวิธีที่สามารถบอกได้แน่นอนว่า ผู้ป่วยเป็นวัณโรคปอด
  เพราะสามารถ มองเห็นเชื้อวัณโรคปอดในเสมหะได้
- การเอ็กซเรย์ปอด แต่การเอ็กซเรย์ปอดอย่างเดียวม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าป่วยเป็น
  วัณโรคปอด

เมื่อไรควรตรวจหา วัณโรคปอด

- ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์
- มีไข้ต่ำตอนบ่ายๆ หรือค่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
- เจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ
- เมื่อมีญาติหรือผู้ใกล้ชิดป่วยเป็นวัณโรคปอด
- ตรวจสุขภาพประจำปี กรณีไม่มีอาการ แต่ถ้าภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นโรคเบาหวาน
  ติดสารเสพติดหรือติดเชื้อเอดส์ ควรตรวจทุก 3-6 เดือน
- เพื่อใช้ประกอบการขอใบรับรองแพทย์

ควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะป่วยและรักษา วัณโรคปอด

- ใช้ผ้าผิดปากและจมูก เวลาไอหรือจามเพื่อป้องกันมิให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
- กินยาตามชนิด และขนาดที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และ พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  จนกว่าแพทย์สั่งหยุดยา
- เมื่อกินยาประมาณ 2 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นห้ามหยุดยาเป็นอันขาด จะทำให้เชื้อโรคดื้อยา
  และรักษาหายยาก
- กินอาหารได้ทุกชนิดที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดสถานที่พักอาศัยให้อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง
- ควรงดเหล้า บุหรี่ และสิ่งเสพติดทุกชนิด
- ควรนำผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน หรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยเฉพาะเด็กไปรับการตรวจร่างกาย
  ตามโรงพยาบาลหรือ สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง
- บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋องแล้วเทลงในส้วม ฝังดิน หรือนำไปเผา

ปัจจัยสำคัญต่อการป่วยเป็นวัณโรค

- อยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น พักอาศัยบ้านเดียวกัน,ทำงานร่วมกัน
- ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือป่วยเป็นโรคเอดส์
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, โรคตับ หรือโรคไต
- ผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันนานๆ เช่น ยากลุ่มสเตรียรอยด์
- การจัดลักษณะที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา หรือสภาพแวดล้อม
  ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
- การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการเสพสารเสพติด

อาการที่อาจพบจากการกินยารักษา วัณโรค

- คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
- เบื่ออาหาร เหนื่อยหอบ
- ตับอักเสบ(ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ผื่นคันตามตัว
- ปวดข้อ
- อาการตามัว

วัณโรคกับเอดส์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

- การติดเชื้อเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
   มากกว่าผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอดส์
- วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้ป่วยเอดส์
- ผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่ป่วยเป็นวัณโรคมีสถิติการเสียชีวิตมากกว่าผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ไม่ป่วยเป็นวัณโรค

ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ไม่ให้เป็น วัณโรค

- ควรตรวจเช็คร่างกาย โดยการเอ็กซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- นำเด็กแรกเกิดไปรับการฉีดวัคซีน บีซ๊จี   ที่โรงพยาบาลทุกแห่งหรือสถานบริการ
   สาธารณสุขใกล้บ้าน
- หากมีอาการสงสัยป่วยเป็นวัณโรค ควรรีบไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง
  หรือ สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และกินอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง   มีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคได้ง่ายขึ้น

วัณโรครักษาหายได้

หากกินยาต่อเนื่อง และสม่ำเสมอใช้เวลาเพียง 6-8 เดือนเท่านั้น ผู้ป่วยวัณโรคหากได้รับการรักษา
ไม่ถูกต้อง ขาดยา หรือกินยาไม่ต่อเนื่องจะทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยา ทำให้ยากต่อการรักษา และ
อาจแพร่เชื้อวัณโรคดื้อยาสู่ผู้อื่น